ติดเครื่องไล่หนูแล้วไล่ไม่ได้ผลมีแค่ไม่กี่กรณี โดยหลักๆที่พบบ่อยๆคือ
1.ติดตั้งไม่ถูกวิธี
2.เลือกเครื่องไล่หนูผิดประเภท
3.เครื่องไล่หนูที่ติดตั้งนั้นไม่ได้มาตรฐาน
รวมไปถึงปัจจัยสำคัญอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเรื่องพื้นที่ในการติดตั้งด้วย
โดยบทความนี้เราจะนำความเข้าใจที่แท้จริงมาให้ทราบ ว่าทำไมติดเครื่องไล่หนูแล้ว ถึงไล่ไม่ได้ผล...?
อันดับแรกเราจำเป็นต้องทราบก่อนครับว่า เครื่องไล่หนูนั้นปล่อยคลื่นออกเพื่อทำการไล่ โดยการปล่อยคลื่นจะช่วยไล่หนูได้ประมาณ 70-80% และ มากสุดคือ 90% จากการใช้งานหลายๆท่านคิดเป็นร้อยละ90%ของทั้งหมด
แล้วทำไมถึงไล่ไม่ถึง 100% ล่ะ ...?
อันนี้หากจะทำการเจาะลึกลงไปคงมีรายละเอียดมากมาย แต่จะสรุปคร่าวๆให้ได้ทราบกันว่าเพราะอะไร
การไล่หนูนั้นแบ่งเป็นประเภทการไล่ทั้งหมด 4 ประเภท คือ
1.การไล่ด้วยวิธีกล ได้แก่ กรงดักหนู กาวดักหนู ถังดักหนู กล่องดักหนู ฯ
2.การไล่ด้วยชีววิธี ได้แก่ การเลี้ยงสัตว์เพื่อควบคุมประชากรหนู เช่น เลี้ยงแมว หรือ สัตว์ชนิดอื่นที่กำจัดหนู
3.การไล่ด้วยวิธีเคมี ได้แก่ ยาเบื่อหนู สเปรย์ไล่หนู ข้าวสารกำจัดหนู ไม้ไล่หนูเคลือบสารเคมี
4.การไล่ด้วยวิธีทางกายภาพ ได้แก่ เครื่องไล่หนู คลื่นเสียงรบกวนหนู ความถี่ไล่หนู การปรับสภาพวงจรต่อการดำรงชีวิตหนู เป็นต้น
โดยจากที่กล่าวมาคือ การไล่หนู ข้อ 1-3 มักไม่ค่อยได้รับความนิยมในสมัยใหม่เท่าไหร่ ทางที่ดีที่ปลอดภัยที่สุดก็คือ ข้อที่ 4 การใช้เครื่องไล่หนูนั่นเอง
การไล่หนูนั้นเป็นการไล่ด้วยระบบคลื่นซึ่งจะแตกต่างจากการไล่หนูแบบอื่นหากใครนึกภาพไม่ออกให้นึกภาพในขณะที่ระหว่างเรานอนหลับอยู่ๆก็มีเสียงดังขึ้นต่อเนื่องจนเราทนไม่ได้ การไล่หนูก็คล้ายกันแต่เป็นการปล่อยคลื่นเข้ารบกวน เมื่อหนูเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติซ้ำๆบ่อยๆก็จะหาทางหนีออกไปจากจุดดังกล่าว
การไล่ประเภทนี้ถือเป็นการไล่ด้วยวิธีกายภาพอัตราการได้ผลมีค่อนข้องเยอะ และ ไม่ได้ผลก็มีเยอะ (เดี๋ยวเราจะกลับมาในประเด็นนี้อีกครั้ง) การไล่หนูด้วยคลื่นถือว่าเป็นที่นิยมใช้กันทั่วโลก เนื่องจากไม่ทำให้บ้านดูสกปรกแล้ว ยังช่วยยับยั้งแมลงต่างๆที่มาพร้อมกับความสกปรกของหนู เช่น แมลงสาบ ได้อีกด้วย
เพราะเป็นการไล่ด้วยวิธีทางกายภาพการได้ผลจึงค่อยข้างดีกว่า วิธี 1-3 มากถึง 70-80%
เอาล่ะ..แล้วหากติดเครื่องไล่หนูแต่ไม่ได้ผลเกิดจากอะไร...?
การติดเครื่องไล่หนูนั้นก่อนที่จะติดตั้งต้องดูประเภทเครื่องไล่หนูเสียก่อน เครื่องทั่วไปเป็นเพียงแค่คลื่นเดียวซึ่งไม่เพียงพอต่อการไล่แถมเมื่อเสียบไว้ไม่ถึงเดือนหนูก็ปรับตัวได้ซะงั้น เพราะฉะนั้นควรเลือกเครื่องไล่หนูที่มีหลายคลื่น เช่น 3 ถึง 5 คลื่น เป็นต้น โดยบางรุ่นเป็นของปลอม ไม่มีคลื่นถูกปล่อยออกมา (ข้อนี้ต้องระวังให้มากๆ)
แล้วคลื่นเยอะหรือน้อยมันสำคัญอย่างไร...?
ที่จริงแล้วมันสำคัญมากๆ เครื่องไล่หนูที่มีจำนวนคลื่นเยอะ หนูจะยิ่งปรับตัวได้ยาก ไม่สามารถปรับตัวได้ และควรเป็นเครื่องที่ปล่อยคลื่นออกจากตัวเครื่องโดยตรง ไม่ปล่อยคลื่นไล่ไปตามสายไฟเพราะจะทำให้หนูไม่สามารถรับรู้ถึงการรบกวนของคลื่นได้ โดยสรุปว่า อันดับแรกควรเลือกเครื่องไล่หนูให้ถูกประเภทต่อการใช้งานเสียก่อน
เมื่อเราเลือกเครื่องไล่หนูที่ถูกประเภทแล้ว ต่อมาการติดตั้ง ให้เราดูว่า เรามีปัญหาหนูในจุดใด ให้นำไปติดตั้งไว้ตรงจุดนั้น โดยการติดตั้งควรติดให้เหนือจากพื้นประมาณ 20-30 cm. และห้ามมีสิ่งกีดขวางมากจนเกินไป นั่นก็เพราะคลื่นจะปล่อยกระจายได้ไม่ดีเท่าที่ควร
หลายท่านนำไปติดไว้นอกบ้านแบบนี้ติดตั้งที่ผิดวิธี เพราะ เคลื่อนไล่หนูใช้งานได้เฉพาะพื้นที่โซนปิด เช่น ห้องครัว ในตัวบ้าน บนฝ้าเพดาน ออฟฟิต เป็นต้น หากนำไปติดไว้นอกตัวบ้านจะไม่สามารถไล่ได้
แล้วจะทราบได้อย่างไรว่าเครื่องไล่หนูได้ผล..?
หลังจากติดตั้งไปแล้ว การทำงานของเครื่องไล่หนูจะปล่อยคลื่นเข้าครอบคลุมพื้นที่ โดยแต่ละพื้นที่จะใช้ระยะเวลาการไล่ไม่เท่ากัน เร็วสุดที่หลายท่านได้ผลคือ 2 สัปดาห์ แต่โดยปกติจะเริ่มเห็นผลประมาณ 3-4 สัปดาห์ เริ่มจากสังเกตรอยเท้าหนู มูลหนู เสียงร้องของหนู เริ่มลดลง สิ่งของในบ้านไม่มีการถูกกัดแทะ แสดงว่าเครื่องใช้งานได้ผล
จะสังเกตยังไงระหว่างเครื่องไล่หนูของปลอมกับของที่มีมาตรฐาน ...?
สังเกตง่ายมากโดยให้ดูที่มาตรฐานส่งออกยุโรป CE RoHS และ สติ๊กเกอร์ QC PASS ซึ่งเป็นสติ๊กเกอร์ที่ได้รับมาตรฐานผ่านการทดสดก่อนวางจำหน่าย รวมไปถึง ใบ Certificate ของร้านที่รับรองโดยบริษัทผู้ผลิต หากเครื่องประเภทไหนที่ไม่มีจากที่กล่าวมาให้ตั้งข้อสงสัยไว้ว่าเป็นเครื่องของปลอม ใช้งานแล้วไม่สามารถไล่ได้
เปิดร้าน | 20 ม.ค. 2557 |
ร้านค้าอัพเดท | 3 ก.ย. 2568 |